วัฒนธรรมในการใช้ภาษา หมายถึงการใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล เนื่องจากสังคมมนุษย์มีขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อเป็นระเบียบที่จะปฏิบัติร่วมกัน ในการใช้ถ้อยคำก็เช่นเดียวกันจะต้องมีระเบียบเพื่อยึดถือร่วมกัน และให้เข้าใจตรงกัน ซึ่งเราจะเห็นได้จากการที่ประเพณีไทยนิยมถือความลดหลั่นทางชาติวุฒฺ วัยวุฒฺและคุณวุฒิ ลักษณะการใช้ถ้อยคำจึงต้องสอดคล้องกับความนิยมของสังคมไทย ซึ่งต้องรู้จักการใช้ถ้อยคำในเรื่องต่อไปนี้ คือ กาลเทศะของบุคคลในการพบปะการติดต่อประสานงาน การขอความช่วยเหลือ และคำพูดที่คำนึงถึงความรู้สึกผู้ฟัง โดยมีลักษณะการใช้ถ้อยคำดังนี้
1.การใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคลในการพบปะ
คำทักทายในการพบปะนั้น แต่ก่อนเราใช้ทักกันว่า "ไปไหนมา" แต่ในปัจจุบันนี้เราใช้คำว่า "สวัสดี" ซึ่งพระยาอุปกิตศิลปสารได้บัญญัติใช้เมื่อ พ.ศ. 2480
ในการใช้ภาษาทักทายในการพบปะกันนั้น เรามีการใช้ภาษาที่แตกต่างกันไปตามฐานะของบุคคล 2 ระดับคือ
1.1 บุคคลที่ต่างระดับกัน
บุคคลที่ต่างระดับกันในที่นี้หมายถึงผู้น้อยกับผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ที่ต่างกันด้วย ชาติวุฒิ วัยวุฒิและคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทุกอย่าง การทักทายกันนั้นผู้น้อยควรทำความเคารพด้วยการยกมือไหว้แสดงมารยาทอันดีงามก่อน แล้วจึงกล่าวคำว่า "สวัสดีครับ (ค่ะ)" ก็เพียงพอแล้ว ผู้ใหญ่ก็จะกล่าวคำ "สวัสดี" ตอบ ถ้ามีความสนิทสนมกันมากผู้ใหญ่ก็อาจตอบว่า "สวัสดีพ่อคุณ" แล้วผู้น้อยจะถามถึงสุขภาพบ้าง เช่น "ท่านสบายดีหรือครับ" ไม่ควรใช้คำที่สนิทสนมเกินควร เช่น กล่าวว่า "แหมท่านดูกระชุมกระชวยอยู่นะครับ" คำกระชุ่มกระชวยนี้แม้ว่าจะมีความหมายตามนัยพจนานุกรมว่ามีอาการกระปรี้กระเปร่า ซึ่งใช้กับผู้ที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงและดูท่าทางว่ามีอายุอ่อนกว่าวัยก็ตาม แต่คำนี้ดูจะเป็นคำที่ถือเอาความสนิทสนมเกินควร ฉะนั้น เราจึงควรใช้คำว่า "ท่านยังสมบูรณ์เหมือนเดิมหรือแข็งแรงเหมือนเดิม" จะดีกว่า
ในการพบปะกันระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่นั้น ผู้น้อยควรระมัดระวังถ้อยคำในการสนทนา คือ
1.1.1 อย่าใช้คำห้วนหรือกระด้าง ซึ่งดูจะเป็นการไม้ให้ความเคารพ เช่น คำอุทานว่า โอ๊ย! วุ้ย! หรือคำพูดห้วนๆ เช่น เปล่า ไม่มี ไม่ใช่ ไม่รู้ ฯลฯ ซึ่งเราควรจะพูดว่า มิได้ หามิได้ หรือ ไม่ทราบ จะดีกว่า
1.1.2 ฝึกพูดคำรับให้เป็นนิสัย เมื่อผู้ใหญ่ถามเราควรตอบรับด้วยคำลงท้ายว่า "ครับ" "ค่ะ" หรือ "ขอรับ" อยู๋เสมอ ซึ่งถ้าไม่ลงท้ายด้วยคำรับแล้วจะดูเป็นการตอบแบบห้วนๆ และขาดหางเสียง
1.1.3 ไม่ควรใช้คำแสลงหรือคำคะนองซึ่งเกิดตามยุคสมัย เช่น คำว่า สน (สนใจ) นิ้ง (ดี) เจ๋ง (แจ่มชัด แน่นอน)
1.2 บุคคลที่เสมอกัน
บุคคลที่เสมอกันนี้ หมายถึง บุคคลที่เสมอกันด้วยชาติวุฒิ วัยวุฒิ และคุณวุฒิ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทุกอย่าง ในการทักทายก็ควรกล่าวคำว่า "สวัสดี" และฝ่ายใดจะทักทายก่อนก็ได้ ถ้าอยู่ในที่ชุมชนก็ควรสำรวมกิริยามารยาทและระมัดระวังคำพูดในการสนทนา ไม่ควรใช้คำพูดที่แสดงถึงความสนิทสนมจนเกินไป เพราะในที่สนทนานั้นมีผู้อื่นอยู๋่ด้วย ไม่ได้อยู่กัน 2 ต่อ 2 หรือเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมกันเท่านั้น ดังนั้นในการพบปะกับบุคคลที่เสมอกันจึงต้องควรหลีกเลี่ยงการพูดคำหยาบ คำสาบาน คำห้วน และคำสแลง นอกจากนั้นควรใช้คำสรรพนามแทนตัวเองว่าผมหรือดิฉัน แทนคำสรรพนามที่แสดงความสนิทสนมกันเกินไป
2. การใช้ถ้อยคำติดต่อประสานงามหรือขอความช่วยเหลือ
หลักใหญ๋ของการใช้ถ้อยคำเพื่อติดต่อประสานงานหรือการขอความช่วยเหลือ ก็เหมือนกับการใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคลในการพบปะดังกล่าวมาแล้ว แต่การใช้ถ้อยคำในการติดต่อประสานงานหรือขอความช่วยเหลือนั้น เราควรระมัดระวังเกี่ยวกับความสุภาพในการพูดจา ถึงแม้จะอยู่ในฐานะสูงหรือมีหน้าที่การงานสูงกว่าก็ตาม เราไม่ควรใช้สรรพนามว่า อั๊ว ลื้อ หรือใช้คำเป็นทำนองคำสั่ง แต่ควรใช้สรรพนามที่ก่อให้เกิดกำลังใจแก่ผู้ทำงาน โดยอาจใช้คำสรรพนามว่า ผม พี่ หรือน้องก็ได้ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่นับถือกันแบบเครือญาติอยู๋แล้ว เช่น เราจะให้พนักงานพิมพ์ดีดพิมฑ์งานของเรา เราไม่ควรบอกว่า "เอาเรื่องนี้ไปพิมพ์หน่อย อย่าให้ผิดอีกนะ แล้วอย่าไถลไปไหนล่ะ ทำงานให้เสร็จก่อนเที่ยงนะ อั๊วจะเข้าประชุม" ซึ่งคำพูดเหล่านี้จะไม่ก่อให้เกิดกำลังใจแก่ผู้ทำงาน เราควรใช้คำพูดที่นุ่มนวลกว่า คือ "คุณสนิทกรุณาพิมพ์เรื่องนี้ให้หน่อยเถอะ ให้ว่างจากงานเสียก่อนก็ได้นะ แต่ผมจำเป็นต้องใช้ประกอบในการประชุมบ่ายโมงนี้ ถ้าจะให้เสร็จก่อนได้ก็ดี ขอบใจมาก" หรือเราจะพูดว่า "น้องตอนนี้เหนื่อยไหม พี่วานพิมพ์เรื่องนี้ให้หน่อยเถอะ พี่จำเป็นต้องใช้ในการประชุมบ่ายโมงนี้เสียด้วยซี ช่วยหน่อยเถอะน้อง"
ถ้าหากเป็นการติดต่อประสานงานกับบุคคลที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ความชัดเจนเกี่ยวกับคำพูดเป็นเรื่องสำคัญมาก เราอาจต้องเท้าความเดิมบ้าง เพราะผู้ที่เราไปติดต่อย่อมมีงานมาก และอาจเกิดเป็นความสับสนในเรื่องต่างๆ เช่น เราจะต้องกล่าวว่า "กระผมนาย....................เป็นเลขานุการคุณ....................ผู้จัดการบริษัท....................ครับ ท่านให้ผมมาเรียนถามในเรื่องรถยนต์ที่ท่านติดต่อกับบริษัทเมื่ออาทิตย์ที่แล้วครับ
3. การใช้ถ้อยคำที่คำนึงถึงผู้ฟัง
คนไทยเรามีคำพังเพยอยู๋บทหนึ่งว่า "ให้รู้้จักเอาใจเข้ามาใส่ใจเรา" ซึ่งแสดงว่าคนไทยมีวัฒนธรรมที่ดีงามในอันที่จะคำนึงถึงผู้อื่นเสมอ ถ้อยคำภาษาของไทยไม่เพียงแต่จะสื่อความหมายเท่านั้น ยังมีรสและให้ความรู็สึกอีกด้วย เช่นคำว่า "โกหก" เป็นคำที่มีความหมายค่อนไปทางคำหยาบและคำด่า เราควรใช้คำแทนว่า พูดเท็จ พูดไม่จริงหรือพูดปด เป็นต้น นอกจากนี้เราต้องระมัดระวังในการใช้คำพูดด้วย เพราะคำบางคำจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ เช่น ประโยคที่ว่า "คุณตาป่วยมานานแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อนท่านต้องเข้าโรงพยาบาล เราคาดหวังกันว่า เจ็บคราวนี้ท่านจะอยุ่ได้ไม่นาน" คำว่า คาดหวัง ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่า ผู้พูดต้องการให้คุณตาตายเสียที ฉะนั้นเราจึงควรใช้คำคาดหวังซึ่งให้ความหวังไปในทางที่ดี เช่น "น้องเก๋เป็นคนที่ขยันดูหนังสืออย่างสม่ำเสมอ พวกพี่ๆ คาดหวัง กันว่าน้องเก๋คงจะสอบได้ที่ 1 อีกเช่นเคย"
รวมความว่า การพูดหรือการใช้ถ้อยคำนั้นเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าผู้พูดมีวัฒนธรรมสูงต่ำเพียงใด ดังบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งว่า
อันพูดนั้นไม่ยาก ปานใดเพื่อนเอย
ใครที่มีลิ้นอาจ พูดได้
สำคัญแต่ในคำ ที่พูด นั่นเอง
อาจจะทำให้ชอบ และชัง
- ประมวลสุภาษิต พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำ
การใช้ถ้อยคำในการสนทนากับบุคคล ในการพบปะ การขอความช่วยเหลือหรือเพื่อคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ฟังที่ดี เราควรรู้จักการใช้คำเหล่านี้ให้เหมาะสมกับโอกาส คือ
1. ขอบใจ ผู้ใหญ่ใช้กับผู้น้อย เมื่อผู้น้อยทำประโยชน์หรือช่วยเหลือ
2. ขอบคุณ ใช้กับผู้เสมอกัน เมื่อผู้นั้นได้ช่วยเหลือเรา
3. ขอบพระคุณ ผู้น้อยใช้กับผู้ใหญ่ เมื่อผู้ใหญ่ได้ช่วยเหลือหรือทำประโยชน์ให้
4. ขอโทษ ผู้ใหญ่ใช้กับผู้น้อย เมื่อผู้ใหญ่ทำผิดพลาด
5. ขออภัย ใช้กับผู้เสมอกันหรือผู้ใหญ่ เมื่อเราทำผิดพลาด
6. ขอประทานอภัย ผู้น้อยใช้กับผู้ใหญ่ เมื่อเราทำผิดพลาด
7. ครับ ค่ะ ใช้กับบุคคลทั่วไป เป็นคำรับ
8. ขอรับ ผู้น้อยใช้กับผู้ใหญ่ เป็นคำรับ
9. จ้ะ ผู้ใหญ้ใช้กับผู้น้อย เป็นคำรับ
คำเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ให้เป็นนิสัย เพราะเป็นการแสดงวัฒนธรรมของผู้ใช้ และในบางกรณีก็ทำให้เกิดความสงบขึ้นในสังคมด้วย เช่น ถ้าเราทำผิดพลาดโดยไม่เจตนาแล้วรีบกล่าวว่า "ขออภัยครับ ผมไม่ได้เจตนาจริงๆ" ผู้ที่ฟังหรือผู้เสียกายก็จะคลายอารมณ์โกรธได้บ้าง
เอกสารอ้างอิง
ประจักษ์ ประภาพิทยากร และคณะ. ภาษากับวัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 9. นนทบุรี: ไทยรุ่มเกล้า. มปท. (เอกสารอัดสำเนา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น